ในการตรวจดูทำเลของอาจารย์ ไม่ได้เน้นความสำคัญไปที่สิ่งคุกคามภายนอกเท่าไหร่ แต่จะไปเน้นสิ่งสำคัญที่โดดเด่นที่เราสามารถมองเห็นได้ทันที หรือที่เรียกว่า “สายตาปะทะสิ่งใดก่อน สิ่งนั้นย่อมมีอิทธิพลต่อผู้อาศัย”
เช่นโดยทั่วไป ศาสตร์ว่าด้วยทำเล จะถือสาเรื่องสิ่งแหลมคมที่อยู่ตรงข้ามบ้านของเรา แต่ถ้าสิ่งที่แหลมคมนั้น อันกะจิดริด เล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับตัวบ้านของเราที่มีอาณาบริเวณ ที่เรียกได้ว่า ข่มทำเลตรงข้ามไปหมดเรียบร้อยแล้ว มองดูแล้ว คล้ายเด็กรังแกผู้ใหญ่ คือมันไม่มีผลอะไรนั่นเอง
แต่ถ้าหากสิ่งอันไม่พึงประสงค์ ดูแล้วน่าเกลียด เช่น กองขยะมหึมาที่อยู่หน้าบ้าน แถมส่งกลิ่นเหม็น จะดูอย่างไร สายตาและความรู้สึกมันเข้าไปผูกพันวนเวียนอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านั้นย่อมมีผลกับตัวเราอย่างแน่นอน
อุปมาเหมือนเราจะรักชอบใคร เราก็ผูกพันวนเวียนกับคนนั้น ทุกข์สุขของเขาก็มีผลกับจิตใจเรา เขารักเขาชัง หรือมีความรู้สึกอย่างไรกับเรา ต่างก็มีผลกับชีวิตของเราทั้งสิ้น ตรงกันข้าม ถ้าคนไหนเราไม่รัก ไม่ชอบ ไม่สนใจซะอย่าง ทำอะไรก็ไม่มีผลกับเรา นี่เป็นเรื่องของจิตใจ ศาสตร์ว่าด้วยทำเล จะเกี่ยวพันกับเรื่องจิตใจด้วย
อีกประเภทหนึ่ง เป็นเรื่องของสายตาที่มองดูสิ่งรอบๆ ตัว อันนี้จะเข้าลักษณะสิ่งแวดล้อมทางวัตถุ เช่น เมื่อเราเข้าบ้านของเราเอง บ้านรกมาก ไม่เป็นระเบียบ ไม่สวยงาม ไม่ต้องตาต้องใจ ไม่ตรงกับรสนิยมของเรา เราก็จะรู้สึกหงุดหงิด
เคล็ดของฮวงจุ้ยในตอนนี้ จึงอยากจะเน้นความสำคัญของสิ่งแรกที่สายตาปะทะ ให้อ่านทำเลและตีความจากสิ่งแรกที่เราเห็นเสียก่อน
มีบ้านอยู่หลังหนึ่ง เป็นบ้านเดียวสองชั้นราคาไม่แพง บ้านหลังนี้กว้างขวางพอสมควร มีห้องใช้สอยครบถ้วน เช่น ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ห้องครัว ห้องนอน ห้องทำงาน คือที่อธิบายมายืดยาวนี้ เพราะต้องการจะบอกให้ทราบว่า ห้องใช้สอยมีพอที่จะไม่ต้องไปอยู่เป็นกระจุกที่เดียว
บ้านหลังนี้เป็นของคุณจุฑา ลูกศิษย์ ที่ไปเยี่ยมมาแล้ว มีลักษณะอย่างนี้ไม่ต่ำกว่า ๑๐ หลัง เมื่อเข้าบ้านของคุณจุฑา อาจารย์จะถามก่อนว่า ห้องนี้ใช้ทำอะไร แล้วอาจารย์ก็จะเดินทั่วบ้านแบบเดียวกับเจ้าหนี้ที่มองอย่างละเอียด สำรวจตรวจตราว่าจะเอาอะไรไปได้บ้าง
แล้วอาจารย์ก็ถามคุณจุฑาว่า รับแขกตรงไหน พักผ่อนตรงไหน ทานข้าวตรงไหน ซอกแซกกับชีวิตเขาไปหมด คุณจุฑาก็จะตอบว่า ตรงนี้ค่ะ ตรงนี้ค่ะ ตรงนี้ที่ว่านี้ คือที่เดียวกันหมด เป็นกระจุกเดียว เวลานอน ก็เฮโลกันไปนอนที่เดียวกันอีก ลูกมีการบ้าน ก็ทำในห้องนอน คุณพ่อจะดูทีวี ก็ดูในห้องนอน คุณแม่จะออกกำลังกาย ก็เหมือนยกฟิตเนตมาไว้ในห้องนอน
สมาชิกครอบครัวทั้งหมดต่างนอนดึก ตื่นสาย สุขภาพไม่แข็งแรง ลูกเรียนไม่เก่ง คุณพ่อหงุดหงิด การงานตกหมด คุณแม่เสียงดัง ขี้บ่น เคยมีเพื่อนมาทักว่าโดนเจ้าที่เล่นงาน ให้ตั้งศาลใหม่ คุณจุฑาก็เชื่อฟังเป็นอันดี ตั้งศาลใหม่ก็แล้ว มีคนมาทักอีกว่า ทางรถเข้าบ้านเทเกินไป คุณจุฑาก็ถมใหม่ เท่านี้ยังไม่พอ ยังมีคนมาทักอีกว่า หน้าต่างห้องนอนของเจ้าของบ้านไปตรงกับจั่วตรงข้ามบ้าน ครั้งนี้จะไปตัดจั่วของเขาออกคงไม่ได้ เรื่องจึงมาถึงอาจารย์
อาจารย์ไม่ได้ดูที่จั่ว แต่แนะนำให้จัดบ้านใหม่ทันที ถ้าหากบอกว่าห้องนี้เป็นห้องรับแขก เมื่อเข้ามาต้องจัดห้องให้รู้ได้ทันทีเมื่อแขกเข้ามา เขาจะต้องนั่งตรงนี้ ห้องนั้นจะต้องมีลักษณะโดดเด่น ที่ดูรู้ทันทีว่าเป็นห้องรับแขก
ตรงนั้นเรียกว่าห้องนั่งเล่น พักผ่อน ดูทีวี ก็ต้องจัดห้องตามความหมายนั้น คือพักผ่อนและดูทีวี คอมพิวเตอร์ที่ใช้เล่นเกมส์ก็ต้องอยู่ห้องนี้
ห้องรับประทานอาหาร โต๊ะอาหารก็ต้องเด่นที่สุด จัดห้องให้น่านั่งรับประทานอาหาร มีทั้งรูปภาพประกอบที่ไม่ดูหนักเกินไป
ห้องนอนก็ต้องมีเตียงนอนที่โดดเด่น ดูน่านอนหลับปุ๋ยทันทีที่เห็นเตียง
พอเข้าใจเคล็ดหรือหลักเกณฑ์นี้นะคะ
ถ้าหากว่าเรามีบ้านขนาดเล็ก เราก็ต้องแยกแยะให้ดีว่า ในบ้านเล็กกระทัดรัดของเรานี้ เรามีกิจกรรมอะไรที่โดดเด่นที่สุด เช่น มีแขกทุกวัน มากันได้ทุกวี่ทุกวัน เราก็ต้องจัดห้องรับแขกให้สามารถรับแขกได้ตลอดเวลา แต่ก็จัดให้สบายพอที่จะเป็นห้องนั่งเล่น พักผ่อนไปในตัว
โต๊ะรับประทานอาหาร สามารถจัดเป็นที่ทำการบ้านของเด็กๆ ได้ โดยจัดให้เป็นระเบียบ ไม่รก แต่รอบๆ โต๊ะอาหาร มีชั้นหนังสือวางอยู่ด้วย มีโต๊ะคอมอยู่ใกล้ๆ เป็นต้น
สรุปก็คือ ต้องกำหนดให้ได้ก่อนว่า ห้องไหนใช้สอยสำหรับอะไร เฟอร์นิเจอร์ที่เลือกใช้ ต้องให้ความหมายตรงกับการใช้สอย ห้องนอน เตียงต้องเด่น ห้องทำงาน โต๊ะทำงานก็ต้องเด่น และต้องใช้สอยทุกพื้นที่ด้วยนะคะ อย่าลืม
ถ้าทำได้อย่างนี้ เรียกได้ว่า มีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะนอกจากจะถูกต้องตามทำเลแล้ว ยังทำให้มีสภาพแวดล้อมทางวัตถุที่ดี เพราะเป็นการเพาะนิสัยของเด็กให้รู้จักการทำอะไรก่อนหลัง พูดง่ายๆ คือรู้จักจัดลำดับก่อนหลังในการจัดการเรื่องราวต่างๆในชีวิตของตนเองให้ดี
ลองจัดบ้านตามเคล็ดนี้นะคะ