กรณีศึกษา : การต่อเติมบ้าน

ครอบครัวของอาจารย์สุภา เป็นครอบครัวที่ข้าพเจ้ารู้จักมานาน ลูกหลานเรียนเก่ง ตัวอาจารย์สุภาและอาจารย์จีระสามี ก็เจริญในตำแหน่งหน้าที่การงาน ต่อมาไม่นาน มีเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ดีเริ่มเกิดขึ้น

เริ่มด้วยลูกสาวคนโตมีอาการปวดหัวเป็นประจำ สายตาเริ่มสั้น ดูเผินๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดา ต่อมาลูกสาวคนเล็กเริ่มปวดหัวข้างเดียว อาจารย์สุภาหกล้มขาแพลง อาจารย์จีระถูกย้าย คุณพ่ออาจารย์จีระเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ธุรกิจเล็กๆของอาจารย์สุภาที่ให้คนดูแลถูกโกง พนักงานการเงินยักยอกเงินหนีไป

อาจารย์สุภาติดต่อข้าพเจ้าให้เช็คดวงชะตา ข้าพเจ้าตรวจดูแล้วเห็นว่ามีเคราะห์แน่นอน จึงไปตรวจเช็คทำเลที่บ้าน

ความที่อาจารย์สุภาอยากเปลี่ยนแปลงบ้านใหม่ให้สวยงาม เลยไปหาเฟื่องฟ้ามาปลูกตรงรอบๆห้องนอน ต่อเติมโรงรถออกไปเป็นห้องรับแขกเพื่อให้บ้านกว้างขึ้น ตัดต้นไม้ใหญ่ 2 ต้นหน้าบ้าน แล้วทำเป็นที่นั่งเล่น คือตัดต้นไม้ใหญ่ให้เหลือตอ

ความเปลี่ยนแปลงต่างๆอย่างนี้ ถ้าเรามองดูอย่างผิวเผิน เหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรแปลก แต่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมใหม่ ความเคยชินในความดำรงอยู่ของสภาพแวดล้อมแบบเดิมๆ เปลี่ยนไป ความสมดุลกลมกลืนจากของเดิมที่ปรับเข้าหากันเรียบร้อยแล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลง บรรยากาศเปลี่ยนไป

โรงรถที่ต่อเติมทำให้ห้องเดิมที่แสนอบอุ่นดูมืด ไม่ค่อยมีใครอยากมานั่งเท่าไหร่ ห้องรับแขกที่ต่อเติมใหม่ดูแข็งๆ เพราะไม่กลมกลืนกับตัวบ้าน

เฟื่องฟ้าเป็นไม้มีหนามและเป็นไม้พิษด้วย ทำให้เด็กๆ ปวดศีรษะ นานไปเป็นไมเกรน ปวดศีรษะข้างเดียว ควรเอาออก แล้วใช้ต้นคุณนายตื่นสายแทน เด็กๆ จะได้รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อเห็นคุณนายตื่นสายอยู่ข้างๆ เป็นสัญลักษณ์ว่า ฉันไม่ต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียนทุกวัน

วิธีแก้ด้านอื่นๆ ต้องพยายามปรับทุกอย่างให้มีสภาพเทียมของเดิม คือห้องที่มืดก็เจาะหน้าต่างเพิ่ม ให้แสงเข้าเหมือนเดิม  ห้องรับแขกที่ต่อเติมใหม่ ให้มีทีวี เครื่องเสียง เป็นส่วนหนึ่งของบ้าน ใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นโซฟาที่นุ่มนวล เพราะเราไม่ได้รับแขกตลอด ส่วนใหญ่ก็คนในบ้านไปนั่ง ก็ต้องจัดอย่างที่คนในบ้านชอบ

ให้ทำสวนหย่อมเล็กๆ และน้ำพุตรงต้นไม้ที่ตัดเหลือแต่ตอ แล้วไปทำที่นั่งรอบๆ  ถ้าไปทำสวนหย่อม ความเด่นของตอไม้นั้นจะลดน้อยลง ไม่คาตาคาใจ  ของสิ่งใดที่เตะตาหรือเด่นมาก มีผลต่อจิตใจคนเสมอ ทั้งของสวยงามและไม่สวยงาม  เพราะฉะนั้น ทุกมุมในบ้านควรดูสบายตาสบายใจ

หลังจากปรับความสมดุลภายในบ้านเล็กๆ น้อยๆ ไม่นานนัก ครอบครัวนี้ก็กลับมาสงบเหมือนเดิม น่าประหลาดว่าอาจารย์จีระย้ายกลับมาอยู่ที่เดิมในปีต่อมา


กรณีศึกษา - บ้านที่เป็นหยิน

หยาง เป็นสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์ พลังที่แข็งแกร่ง ความร้อน ความอบอุ่น การดำเนินชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพและมีชีวิตชีวา

หยิน เป็นสัญลักษณ์แทนโลก พระจันทร์ ความหนาวเย็น อ่อนนุ่ม ความไม่ดี ความเศร้าหมอง การดำรงชีวิตอย่างเฉื่อยชาเบื่อหน่าย  สมมติในยามที่เรามีอารมณ์เศร้าหมอง อารมณ์อิจฉาริษยา อารมณ์ชั่วร้ายทั้งปวง อารมณ์ขณะนั้น เรียกได้ว่าเป็นหยิน สภาวะการสร้างสรรค์ก็ไม่มี

บ้านของลูกศิษย์ท่านหนึ่ง เป็นลักษณะบ้านหยินโดยแท้ กล่าวคือ เป็นบ้านไม้อายุประมาณ 30 - 50 ปี มีต้นไม้ใหญ่รกครึ้มปกคลุมบ้าน ในบ้านมีไฟสลัวๆ

เมื่อ 20 ปีมาแล้ว บ้านหลังนี้คึกคัก ประกอบด้วย คุณพ่อ คุณแม่ และญาติพี่น้อง ซึ่งปัจจุบัน คุณพ่อ คุณแม่ เสียชีวิตหมดแล้ว ญาติพี่น้องก็แยกย้ายแต่งงานไปอยู่ที่อื่นหมด บ้านที่มีขนาดใหญ่ มีหลายห้อง ต้องถูกปิดตายเป็นบางส่วน เหลือส่วนที่คุณลูกศิษย์อาศัยอยู่และใช้สอยเป็นประจำ ได้แก่ บริเวณห้องพระ ห้องนอน ห้องรับแขก และห้องครัว ซึ่งลูกศิษย์ท่านนี้จัดไว้เป็นระเบียบมาก แต่ก็อยู่อย่างมืดๆ และเงียบๆ

แถมคุณลูกศิษย์ยังชอบสะสมของเก่าโบร่ำโบราณ ของแตกๆ หักๆ เพราะเธอชอบ ข้าพเจ้าสอบถามด้วยความเป็นห่วงว่า เคยรู้สึกเหงาๆ ซึมๆ หรือว่าหน้าที่การงานมีปัญหาหรือเปล่า การเงินหดหายบ้างไหม คำตอบคือ ไม่เลย มีความสุขดีมาก

เราลองมาวิเคราะห์ดูว่า ทำไมลูกศิษย์ท่านนี้ จึงเป็นข้อยกเว้นของทฤษฎีที่ว่า ยิ่งหยินแรงเท่าไหร่ ชีวิตจะตกต่ำเท่านั้น

ลูกศิษย์ท่านนี้ มีบ้านที่เป็นหยินร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พฤติกรรมของเธอกับเป็นหยางโดยสิ้นเชิง

ประการแรก ลูกศิษย์ท่านนี้ทำงานโรงแรม ฝ่ายการตลาด ต้องเดินทางตลอด ชีวิตอยู่กับการเคลื่อนไหวและติดต่อ ประสานงาน ซึ่งมีความหมายเป็นหยางเต็มตัว ไม่จำเจอยู่กับที่

ประการที่สอง บ้านคุณลูกศิษย์เป็นบ้านแบบโบราณ มีนาฬิกาที่ใช้ลูกตุ้มแกว่งและนาฬิกานกเขาขันคู แสดงความเป็นหยางในบ้าน คือเสียงและการเคลื่อนไหว ชายคาของบ้านมีกระดิ่งโบราณติด จะมีเสียงดังกรุ๋งกริ๋งเพราะโดนลมพัดเกือบตลอดทั้งวัน

ประการที่สาม ลูกศิษย์ท่านนี้ประกอบบุญกุศล ถือศีล ฟังธรรม ทำบุญ มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ รับอุปการะส่งเด็กนักเรียนเรียนหนังสือถึง 5 คน จิตใจอิ่มบุญ อารมณ์ผ่องใสอยู่เป็นนิตย์

เพียงแค่สามประการนี้ ส่งผลให้ตัวลูกศิษย์เป็นหยางโดยสมบูรณ์ จึงเกิดสภาวะสมดุลกลมกลืนกับบ้านซึ่งเป็นหยิน ทำเลนี้จึงไม่ต้องแก้ไข



กรณีศึกษา : การแต่งบ้าน

การแต่งบ้านอย่างง่ายๆ ควรรู้หลักพื้นฐานเบื้องต้นไว้บ้างจากตำราที่วางขายทั่วไป และควรดูเหตุผลประกอบไปด้วย หรือใช้พื้นฐานของตรรกวิทยา ความเป็นเหตุเป็นผลกัน

บ้านของคุณรัดเกล้า เป็นทาวน์เฮาส์ใหญ่ 4 ชั้น อยู่กัน 3 คนพ่อแม่ลูก คุณพ่อทำงานด้านส่งออก คุณรัดเกล้าเปิดสำนักงานบัญชี ที่ทำงานไม่ไกลกัน  ทั้งสองคนเป็นคนทำงานเก่งด้วยกันทั้งคู่ ความเคร่งเครียดจากที่ทำงานเลยติดมาที่บ้านด้วย

ลักษณะการจัดบ้านของคุณรัดเกล้าเหมือนที่ทำงาน เฟอร์นิเจอร์ดูหนัก ดอกไม้ไม่มี ตุ๊กตาไม่วาง ห้องอาหารเหมือนห้องประชุมที่ทำงาน ตู้โชว์มีรูปการปฎิวัติฝรั่งเศสและรูปปั้นที่แยกเขี้ยวเข้าใส่กัน มีเขาสีดำเล็กๆวางอยู่ แจกันดอกไม้ที่วางอยู่เป็นดอกไม้จริงที่ทำให้แห้ง คือดอกไม้ตาย

ข้าพเจ้าเข้าไปสัมผัสในบ้าน ใจห่อเหี่ยว รู้สึกหงุดหงิด เรียกว่าจะคุยกันก็ด้วยความเครียด เพราะบรรยากาศสภาพแวดล้อมเป็นอย่างนั้น แถมชุดรับแขกเป็นสีส้มออกชมพู สีของดาวอังคาร เทพเจ้าแห่งสงคราม ซึ่งข้าพเจ้าพอจะทราบได้ทันทีโดยไม่ต้องมีใครบอกว่า คุณรัดเกล้าติดต่อข้าพเจ้ามาด้วยเรื่องความขัดแย้งภายในบ้าน ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ พลอยทำให้หน้าที่การงานตก หมดจิตหมดใจที่จะสร้างสรรค์หรือทำงานต่อไป

ข้าพเจ้าขอให้คุณรัดเกล้าจัดบ้านใหม่ โดยเริ่มที่ห้องอาหาร ให้เพิ่มทีวี เครื่องเสียง ที่ใส่กระดาษทิชชูลายเป็นลูกไม้ก็ได้ ฝาผนังติดรูปดอกไม้ ผลไม้ อาหาร มีแจกันดอกไม้พลาสติกหรือดอกไม้ผ้าสีสด หรือจะเพิ่มผ้าปูโต๊ะก็ได้

สำหรับตู้โชว์ ให้เป็นของกระจุ๋มกระจิ๋ม คริสตัล ตุ๊กตา เครื่องเคลือบ หรือตุ๊กตาที่ดูเป็นครอบครัว ลูกเสือ ลูกหมาน่ารักๆ โซฟาควรใช้สีครีมมากกว่าสีชมพู คุณรัดเกล้ามีบุตรชายคนเดียว ของเล่นมีแต่ปืน(พลาสติก) มอเตอร์ไซค์ เครื่องเสียง จึงให้คุณรัดเกล้าซื้อตุ๊กตาผู้หญิงแต่งตัวอ่อนช้อยน่ารักๆ ตัวโตๆ มาวางในบ้าน

เมื่อจัดเสร็จแล้ว บ้านคุณรัดเกล้าดูอ่อนโยนลงจนเจ้าตัวรู้สึก แถมหน้าบ้านมีน้ำพุเล็กๆ คู่กับสวนดอกไม้สีขาว ดอกแก้ว โมก และบานบุรี

หลังจาก 2 สัปดาห์ผ่านไป คุณรัดเกล้าโทรมาคุยให้ฟังด้วยความขอบคุณว่า ครอบครัวเธอมีความสุข สงบ ไม่ค่อยทะเลาะกันอีกต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ด้วยวิธีการจัดบ้านอย่างง่ายๆ

โดยทั่วๆไปแล้ว การจัดบ้านควรให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อย่าซื้อของมามากจนเกินความจำเป็นจนไม่มีที่จะเก็บ ในที่สุดก็ดูรกไปหมด จนไม่มีที่จะยืน เดิน หรือนอน แม้แต่ใต้เตียงก็ยังมีที่กักตุน เพราะเป็นคนช่างซื้อช่างเก็บ อะไรก็ดูน่าซื้อ น่าหา น่าเก็บ ไปหมด แต่กลับเป็นผลร้ายในเรื่องของทำเล การซื้อของใช้ นอกจากดูกำลังเงินแล้ว ต้องดูขนาดของบ้านและที่เก็บของด้วย

เขาสัตว์ไม่ควรมีไว้ในบ้าน เพราะจะทำให้เด็กดื้อ มีอารมณ์ก้าวร้าว ของใช้ในบ้านโดยทั่วไป ผู้อยู่อาศัยจะเลือกตามที่ตนชอบ เห็นแล้วสบายตาสบายใจ ของใครของมัน ไม่ใช่สบายตาเราแต่ไม่อยู่ในรสนิยมของเจ้าของบ้าน อย่างนี้ก็ไม่ถูก